บัว
“ถึงสามโคกโศกถวิลถึงปิ่นเกล้า
พระพุทธเจ้าหลวงบำรุงซึ่งกรุงศรี
ประทานนามสามโคกเป็นเมืองตรี
ซื่อประทุมธานีเพราะมีบัว”
คนไทยกับบัวมีความผูกพันกันมาแสนนาน พุทธศาสนิกชนแต่โบราณจะนำดอกบัวมาใช้บูชาพระพุทธรูปและกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับศาสนาพุทธ โดยเฉพาะบัวหลวงสีขาว ดอกบัวเป็นดอกไม้บริสุทธิ์ สะอาด พุทธศาสนาจึงเปรียบดอกบัวกับพระพุทธเจ้า ในทศชาติชาดกซึ่งเป็นเรื่องราวของพระพุทธเจ้าแต่ชาติปางก่อน มีเรื่องเกี่ยวกับบัวอยู่หลายพระชาติ อาทิ มโหสถชาดก พระภูริทัตต์ชาดก พระเวสสันดร เป็นต้น นอกจากนี้บัวยังใช้บริโภคทั้งสายบัวและฝักบัว เช่น บัวสาย นิยมไปจิ้มน้ำพริกหรือใช้ผัดเสิร์ฟเป็นอาหาร บัวผันและบัวเผื่อน ใช้หัวเป็นอาหารหรือยาก็ได้ ส่วนฝักของบัวหลวงดอกชมพูมีรสชาติมันอร่อย
เมื่อกล่าวถึง“บัว”คนไทยทั่วๆไปจะนึกถึงพืชไม้น้ำ ๓-๔ ชนิด คือ บัวหลวง บัวผันบัวเผื่อน และบัวสาย เพราะการใช้ประโยชน์บัวหลวงพวกดอกขาว ก็มักจะใช้เป็นดอกไม้บูชาพระบ้าง แต่ส่วนใหญ่เก็บฝักบริโภค บัวผัน-บัวเผื่อน ชาวนาเก็บหัวบริโภคหรือใช้เป็นยา บัวสายใช้เป็นผักบริโภค อีกชนิดหนึ่งที่ประชาชนรุ่นปัจจุบันเริ่มรู้จัก หลังจากเทศบาลนำไปลูกรอบพระราชตำหนักจิตลดารโหฐาน คือบัวกระด้ง แต่ก็ยังไม่เป็นที่แพร่หลายในหมู่ประชาชนทั่วไป เพราะมิใช่ไม้พื้นเมืองในประเทศเรา ปลูก ดูแล รักษา และใช้เนื้อที่มาก ปัจจุบันประชาชนเริ่มให้ความสนใจใช้ประโยชน์การปลูกบัวเป็นไม้ดอกและประดับมากขึ้น ที่ขึ้นหน้าขึ้นตามากได้แก่บัวหวงประเภทที่ซ้อนมาก เช่น บัวสัตตบงกช หรือพันธุ์ดอกเล็กสีชมพู ที่เรียกว่าบัวจีนหรือบัวไต้หวัน แต่บัวหลวงก็ยังเป็นบัวที่ต้องใช้พื้นที่ปลูกมาก ที่นิยมมากที่สุดเวลานี้มีจำหน่ายมากมายในตลาดก็คือ บัวประเภทบัวผันบัวเผื่อนและบัวสาย
การแยกประเภททางพฤกษศาสตร์
บัวทั้ง ๓ ชนิด อยู่ในวงศ์ (family) เดียวกัน คือ Nymphaeaceae แยกเป็น ๓ สกุล (genus) ซึ่งถ้าเรียบเรียงตามแบบนักพฤกษศาสตร์ จะได้ดังนี้
วงศ์ Nymphaeaceae..................................................................บัว
สกุล Nelumbo ใบชูเหนือน้ำ..........................................บัวหลวง
สกุล Nymphaea ใบลอยแตะผิวน้ำ ไม่มีหนาม..............บัวผัน บัวเผื่อน บัวสาย
สกุล Victoria ใบลอยแตะผิวน้ำ ใบใหญ่มีหนาม..........บัวกระด้ง
แต่ละสกุลแยกออกเป็นอีกหลายชนิดหรือหลายพรรณ (species) แต่ละชนิดหรือพรรณก็แยกออกไปอีกหลายพันธุ์ (variety) ทั้งพันธุ์แท้และลูกผสม (hyvrid)
การแบ่งประเภททางเศรษฐศาสตร์
ในต่างประเทศ “บัวหลวง” มีชื่อสามัญว่า “Lotus” สำหรับคนไทยนอกจากใช้คำว่า
บัวหลวงแล้ว คนโบราณมักจะใช้ชื่อภาษาสันสกฤต “ปทุม” หรือ “ปทุมชาติ” ส่วน
“บัวกระด้ง” นั้น ไทยเรียกตามลักษณะที่โตและขึ้นขอบเท่าคล้ายกระด้งฝัดข้าว ต่างประเทศเรียกตามชื่อสกุลว่า “บัววิคตอเรีย” เพราะเป็นบัวที่คนผิวขาวอังกฤษไปพบที่ลุ่มแม่น้ำอเมซอน ในประเทศบราซิล ในสมัยที่พระนางวิคตอเรียแห่งอังกฤษยังครองราชย์อยู่ จึงตั้งเกียรติแก่พระองค์
อุบล หรือ อุบลชาติ คือ บัวกลุ่มบัวผัน บัวเผื่อน และบัวกินสาย ซึ่งแยกออกไปเป็นประเภทย่อยอีก พวกที่มีถิ่นกำเนิดในเขตอบอุ่นและเขตหนาว ใบกลม ของใบเรียบ ดอกลอยเหนือน้ำ และมีเฉพาะดอกบานกลางวัน ไม่มีดอกสีคราม ฟ้า น้ำเงิน และสีม่วง เจริญเติบโตเป็นเหง้าใต้และขนานกับผิวดินสามารถผลิตใบหรือก้านใบสั้นหนาจมอยู่ใต้น้ำในฤดูหนาวที่ผิวหน้าของน้ำเป็นน้ำแข็ง และเจริญเติบโตส่งใบลอยเหนือน้ำใหม่เมื่อน้ำอุ่นขึ้นและน้ำแข็งบริเวณผิวหน้าละลาย มีชีวิตได้ตลอดไปทุกฤดูในเขตหนาวดังกล่าว นักพฤกษศาสตร์ต่างประเทศเรียก “Castalia Group” แต่นักเกษตรต่างประเทศเรียก “Hardy type” หรือ“hard waterlily” ด้วยคำว่า “hardy” และ “มีชีวิตอยู่ได้ตลอดไปทุกฤดู” จึงได้มีผู้บัญญัติศัพท์ใช้ในภาษาไทยว่า “อุบลชาติประเภทยืนต้น” แต่ชื่อนี้ยาวไป ชื่อกลางๆที่เรียกใหม่ว่า “บัวฝรั่ง” เพราะมีถิ่นกำเนิดอยู่ต่างประเทศ และให้เข้ากับชื่อกลางๆของไทยที่เรียกบัวเผื่อน บัวผัน และบัวสาย
อีกประเภทหนึ่ง “อุบลชาติประเภทล้มลุก” มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อน ใบส่วนใหญ่รูปไข่ หรือเกือบกลม ขอบใบจักมนหรือจักแหลม ดอกชูเหนือน้ำ ซึ่งแยกออกเป็นประเภทย่อยอีกคือ “พวกบานกลางวัน” และ “บานกลางคืน” พวกบานกลางวัน คือ บัวผัน บัวเผื่อน ดอกจะมีทุกสียกเว้นสีดำ ส่วนพวกบานกลางวัน คือ บัวสาย มีเฉพาะสีแดง ชมพู และขาว ความแตกต่างนอกจากการให้ดอกบานกลางวันหรือบานกลางคืน ยังสามารถสังเกตได้จากลักษณะใบ คือ พวกดอกบานกลางวัน ขอบใบจักมนและไม่มีระเบียบ เส้นใต้ใบไม่โป่ง ส่วนพวกดอกบานกลางคืนดอกใบจักแหลมมีระเบียบ เส้นใต้ใบโป่ง นักพฤกษศาสตร์จัดอุบลชาติประเภทล้มลุก ๒ กลุ่มย่อยนี้เรียก “Lotus group” ส่วนนักเกษตรต่างประเทศเรียก “Tropicals type” หรือ “Tropicals waterlily”
อีกชนิดหนึ่งที่จัดอยู่ในกลุ่มอุบลชาตินี้ชั่วคราว เพราะมีถิ่นกำเนิดในเขตร้อน คือ ประเทศไทย และลักษณะส่วนใหญ่อยู่ในประเภทนี้ได้แก่ บัว “จงกลนี” เป็นบัวที่มีรูปไข่ ลอยบนผิวน้ำ ขอบใบจัก ทั้งจักมนและจักแหลมคล้ายบัวผัน บัวเผื่อน หรือบัวสาย ดอกบานไม่หุบ คือบานตลอดเวลา แต่ลอยบนผิวน้ำ เหมือนบัวฝรั่ง และกลีบดอกซ้อนมาก สีดอกเหมือนบัวกระด้ง คือบานวันแรกสีชมพู แล้วจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีชมพุอ่อนขาวแล้วขาวอมเขียว
ดังนั้นในกลุ่ม “บัว” จะแยกพวกตามลักษณะที่เห็นได้ตามแบบนักพฤกษศาสตร์ดังนี้ :
บัว
· ใบชูพื้นน้ำ.................................................บัวหลวง ใบลอยแตะผิวน้ำ
· ใบมีหนาม................................................................บัวกระด้ง ใบไม่มีหนาม
· ขอบใบเรียบดอกลอย................................................บัวฝรั่ง ขอบใบจัก
· จักถี่แหลมมีระเบียบ บานกลางคืน...........................บัวสาย จักแหลมหรือมนไม่มีเรียบ
· ดอกชมพูพ้นน้ำ บานกลางวัน...................................บัวผัน บัวเผื่อน ดอกลอยบานตลอดเวลา...............................................จงกลนี
การเจริญเติบโต
ความรู้เรื่องการเจริญเติบโตของบัว เป็นหลักใช้ในการพิจารณาวิธีการปลูก แหล่งและภาชนะที่ใช้ปลูก และการดูแลรักษา ซึ่งมีดังนี้
บัวหลวง บัวหลวงหรือปทุมชาติ หลังงอกเป็นต้นจากเมล็ดเจริญเติบโตด้วย “ไหล”
(stolon)ชอนไชไปใต้ผิวดิน เมื่อเจริญได้จังหวะจะตั้งข้อขึ้นเป็นต้นไม้ ไหลเดิมและ/หรือไหลใหม่ที่แตกจากข้อ จะเจริญชอนไชไปใต้ดิน แตกเป็นต้นใหม่เรื่อย ๆ ไป ถ้าเกิดในทุ่งนา ห้วย หนอง คลอง บึง ที่ไม่มีวัวควายไปเหยียบย่ำไหลจะไม่ขาด จะเจริญทางกว้างแก่ และเปลี่ยนสภาพเป็น “เหง้า” (rhizome) ฝังจมอยู่ใต้ดิน ถ้าน้ำแห้งเหง้านี้จะไม่ตาย เมื่อน้ำมาดินเกิดความชุ่มชื้น จะแตกต้นและ/หรือไหลเจริญเติบโตต่อไป ไหลหรือเหง้าจะเหมือนตาข่ายใยแมงมุมอยู่ใต้ดิน
บัวฝรั่ง คล้ายบัวหลงเมื่อต้นอ่อนเจริญจะสร้างลำต้น คือ “เหง้า” เจริญตามแนวนอนใต้ผิวดิน แล้วแตกหน่อ (spout) จากตาบนเหง้า ก้านใบก้านดอกส่งใบ-ดอกสู่ผิวน้ำ ส่วนลำต้นหรือเหง้าจะเจริญเติบโตตามแนวนอนใต้ผิวดินไปเรื่อย ๆ เป็นตาข่ายใยแมงมุมอยู่ใต้ดินเช่นเดียวกับบัวหลวง เหง้าเดิมที่ถูกดูดอาหารไปเลี้ยงลำต้นใหม่หมด จะฝ่อหรือผุฝังอยู่ใต้ดิน ถ้าน้ำแห้งส่วนที่ยังไม่มีอาหารจะแห้งและฝังอยู่ใต้ดิน เมื่อน้ำมาใหม่จะเจริญเติบโต แตกหน่อและเกิดต้นตอไปใหม่
บัวผัน-บัวเผื่อนหลังจากงอกจากเมล็ดจะเจริญตามแนวดิ่ง ส่วนเหนือรากจนถึงผิวดินถ้ายังอ่อนจะมีสภาพคล้าย ”ไหล” แล้วเปลี่ยนเป็น “เหง้า” ถ้าอยู่ใต้ดิน หรือ “ ลำต้น” ถ้าพ้นดินส่วนเหง้าใต้ดินอาจผลิตหัวยอดเหง้าแตกเป็นต้นใหม่ หรือแตกไหลขึ้นสู่ผิวดิน เกิดเป็นต้นใหม่ การแตกไหลจากหัว จะแตกจากจุดเดียวเป็นส่วนใหญ่ตัวไหลเจริญตามแนวดิ่งขึ้นสู่ผิวดิน แล้วแตกก้านใบก้านดอกที่จุดบนผิวดิน มีรากอออกที่ส่วนปลายของไหลที่แตกเป็นต้น มีน้อยพันธุ์ที่สามารถแตกไหลได้หลายไหลจากหัวเดียว หรือแตกต้นใหม่ได้หลายต้นจากเหง้าต้นเดิม บัวผันบัวเผื่อนนี้จึงขยายพันธุ์ได้ช้าและยากกว่าพวกบัวสาย





บัวสายการงอกจากเมล็ดเจริญแนวดิ่งเช่นเดียวกันกับบัวผัน บัวเผื่อน เมื่อต้นแม่โตเต็มที่ จะแตกไหลจากต้นเดิมและเจริญตามแนวนอนใต้ผิวดินมาเกิดเป็นต้นใหม่เช่นเดียวกับ บัวหลวง แล้วสร้างหัวอยู่ใต้ดิน จะแตกไหลได้หลายไหล เจริญตามแนวนอนออกมาแล้วแตกต้นใหม่ พวกบัวสายส่วนใหญ่จึงขยายพันธุ์ได้ง่ายกว่าพวกบัวผัน-บัวเผื่อนมาก




จงกลนียังไม่เคยปลูกจงกลนีจากเมล็ด เพราะส่วนใหญ่เมล็ดจะงอกอยู่ที่ดอกก่อนโรยแล้วแกะเอาต้นอ่อนมาปลูกขาย ซึ่งมีอัตราการรอดน้อยมาก การเจริญเติบโตตามแนวดิ่งเกิดไหล เกิดเหง้าเช่นเดียวกับบัวผัน-บัวเผื่อน เมื่อเหง้าแก่เต็มที่จะผลิตหัวเล็กๆ (bulblet หรือ culm) รอบๆเหง้า โดยธรรมชาติ เมื่อหัวเล็กๆ นี้แก่ บ้างก็จะแตกต้นขึ้นมาข้างๆต้นแม่ หรือหลุดลอยไปงอกเกิดในที่ๆเหมาะสมใหม่ เป็นการขยายพันธุ์ตามธรรมชาติ


บัวกระด้งส่วนใหญ่เกิดจากเมล็ดและเจริญเติบโตตามแนวดิ่งเช่นเดียวกับอุบลชาติประเภทล้มลุก จะโตเป็นต้นโดดๆ ไม่มีการแตกไหล ทอดเหง้าเหมือนกับอุบลชาติ หรือบัวชนิดอื่น แต่ละต้นใช้พื้นที่ถึง ๙๐ ตารางเมตร โดยเฉลี่ยจะใช้ราว ๕๐-๖๐ ตารางเมตร ส่วนรากจะแผ่กระจายในรัศมี ๒-๓ เมตร จากโคนต้น เมื่อต้นเจริญเติบโตเต็มที่
เดิมมีความเข้าใจผิดว่าบัวกระด้งนี้จะมีหัวอยู่ใต้ดินเช่นเดียวกับอุบลชาติ แม้กระทั่งในตำราจากต่างประเทศบางเล่มก็อ้างว่า พวงอินเดียแดงในอเมริกาใต้อาศัยหัวบัวกระด้งซึ่งใหญ่เกือบเท่าศีรษะคนเป็นอาหาร การเจริญเติบโตตามแนวดิ่ง ถ้าการดูแลรักษาไม่ดี รากจะลอยและตาบ การขยายพันธุ์บัวกระด้งทำได้จากเมล็ดอย่างเดียว





ส่วนในวรรณคดีเรามักจะได้ยินเรียกบัวต่างๆ หลายชื่อ ดังนี้
โกสุม หมายถึง ดอกไม้
ประทุม ปทุมมาลย์ หมายถึง บัวหลวง
โกสุมภ์ประทุมมาลย์ หมายถึง ดอกบัวหลวง
บุษบัน หมายถึง บัวหลวง
สัตตบงกช หมายถึง บัวหลวงสีแดงดอกป้อม
สัตตบุษย์ หมายถึง บัวหลวงสีขาว
บุณฑริก หมายถึง บัวหลวงสีขาวอมเขียวเล็กน้อย
สัตตบรรณ หมายถึง บัวชนิดหนึ่งไม่ได้บอกสี เข้าใจว่าสีแดงมีกลิ่นหอม
นิลบล นิโลตบล และนิโลบล หมายถึง บัวขาบ
นิลกมล นิลปัทม์ หมายถึง บัวเขียว บัวกินสาย
สุธานิโลบล หมายถึง ดอกสีม่วงหรือครามแก่บัวกินสาย
โกมุท-โกเมท หมายถึง บัวสายดอกสีแดง
บุษกร ปุษกร หมายถึง บัวกินสาย ดอกสีน้ำเงิน
โกมล หมายถึง บัวสายชนิดหนึ่ง
ลินจง หมายถึง บัวกินสายสีแดง
บัวเผื่อน หมายถึง ดอกสีขาวมีกลิ่นหอม
บัวผัน หมายถึง เหมือนบัวเผื่อนดอกเล็กๆ
บัวขม หมายถึง บัวสายสีขาวกลิ่นหอมเล็กน้อย สายเล็ก
จงกลนี หมายถึง บัวกินสายดอกสีชมพู บานในตอนกลางวัน
ชื่อ ปทุมธานี ที่เสด็จ
เดือนที่สิบเอ็ดบัวออกทั้งดอกฝัก
มารับส่งตรงนี้ที่สำนัก
พระยาพิทักษ์ทวยหารผ่านพารา
จาก.นิราศเจ้าฟ้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น